ไมโจว Mai Chau หมู่บ้านชาวไทขาว

ตอนที่ 4  เที่ยวเวียดนามเหนือ หน้าฝน 16 วัน

ไมโจว Mai Chau เป็นแหล่งที่อยู่ของชาวไทขาว อยู่ในเขตจังหวัดฮัวบินห์ ซึ่งมีภาษาพูดคล้ายๆกับภาษาลาวและเหนือของบ้านเรา มีบรรยากาศชนบทที่อุดมสมบูรณ์แบบ ที่นี่จะฮิตมากในหมู่คนเวียดนามด้วยกันเองด้วย เพราะอยู่ห่างจากฮานอยเพียง 140 กิโลเมตร

เราค่อนข้างหมดแรงจากการเดินทางเมื่อคืนมาที่ ไมโจว แต่ก็แค่งีบหลับหลังเฝอไก่ในช่วงเช้าเท่านั้น เพราะวิวทุ่งนามันช่างยั่วยวนเหลือเกิน เราตื่นมาเช่ามอเตอร์ไซค์ออกเที่ยวต่อในทันทีตอนสิบโมงกว่าๆเพราะอยากไปดูน้ำตกกับทะเลสาบที่นอกเมือง แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเพราะติดใจอยากแอบสำรวจทุ่งนาใกล้ๆที่พักมากกว่า

 Mai Chau Valley View Hotel วิวจากห้องพักตอนที่มาถึง ไมโจว
น้ำตก Go Lao ที่มาทางเดียวกับทะเลสาบ Hoa Binh ฟ้าที่ร้องฮึ่มๆส่งเสียงขู่ทำให้เราอยู่ได้ไม่นาน
ทะเลสาบ Hoa Binh

พอเอารถมาจอดที่ Ban Luc ก็แอบตกใจเพราะที่นี่คือการมัดรวมของบ้านไทใต้ถุนสูงอันเป็นที่พัก ที่ห่อรวมกับการขายของแบบถนนคนเดินและพ่วงท้ายด้วยร้านรวงแบบถนนข้าวสาร ไม่ว่าจะนวด ทำเล็บ หรือโต๊ะสนุ๊ก นึกในใจว่าโชคดีที่ไม่ได้กดจองที่พักในหมู่บ้านนี้ มันวุ่นวายมากเกินกว่าสิ่งเราจะชื่นชอบได้ แต่พอเดินไปด้านหลังของหมู่บ้านที่นี่ก็ยังมีความน่ารักหลงเหลืออยู่ (ที่นี่เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวจะมาจอดรถ แล้วนั่งรถไฟฟ้าหรือเช่าจักรยาน เพราะถนนด้านในจะเล็กมากห้ามนำรถยนต์ส่วนตัวเข้าไป)

นักท่องเที่ยวจะนำรถมาจอดแล้วขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อเดินทางดูวิวในหมู่บ้าน ซึ่งจะมี Ban Luc และ Pom Coong
ในหมู่บ้าน Luc ที่บ้านทุกหลังจะเป็นโฮมสเตย์และร้านขายของ
ถ้าใครอยากมาพักในหมู่บ้าน Luc เราแนะนำให้ลองดูดีๆ ให้ออกมาริมหมู่บ้านหน่อยจะสงบกว่า
โรงเรียนในหมู่บ้านที่ตอนนี้เด็กๆปิดเทอม
บ้านนี้อยู่ท้ายหมู่บ้านที่เราว่าน่ารักดี ถ้าไม่แน่ใจเราว่ามาเดินๆดูก่อนก็ยังได้ เพราะที่พักเยอะมากจริงๆ
ลายกำแพงหน้าต่างที่นำไม้มาประกอบกันดูน่ารักมาก

เราขี่รถไปที่หมู่บ้านอื่นๆในละแวก ซึ่งหลายแห่งเงียบสงบและน่ารักกว่ามาก ถนนเส้นเล็กๆที่ตัดกันไปมาตามทุ่งนาเพื่อเชื่อมหมู่บ้านก็น่าเดินเล่นเป็นที่สุด ในช่วงตอนเย็นที่นอกจากนักท่องเที่ยว ชาวบ้านก็จะใช้ถนนเหล่านี้มาเดิน วิ่ง ขี่จักรยานออกกำลังกายกันอีกด้วย เราแอบรำคาญตัวเองที่จอดๆขับๆมอเตอร์ไซค์เพราะอยากถ่ายรูป นอกจากนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่ยังใช้จักรยานไฟฟ้าที่ไม่ได้มีกลิ่นท่อไอเสียแบบรถของเรา มันทำให้รู้สึกผิดจริงๆ

Mai Chau Ecolodge โรงแรมยอดฮิต แต่ราคาแสนแพง แถวนี้เป็นที่เดินเล่นหรือขี่จักรยานที่ดี
พอเราตะโกนว่า ขอถ่ายรูปหน่อยนะพ่อเอ้ย พ่อแกตอบว่า ได้ จริงๆเราลองเสี่ยงถามเพราะก็ไม่รู้ว่าจะเหมือนภาษาไทยหรือเปล่า
ชาวบ้านมักจะใช้จักรยานหรือจักรยานไฟฟ้าเพื่อขี่ไปทำไร่ทำนา
เมื่อเลยหมู่บ้าน Luc เข้าไปด้านในก็ยังมีทุ่งนาให้เห็นอีกมากมาย

ในวันรุ่งขึ้นเราเลยใช้การเดิน ซึ่งก็รู้สึกสนุกและเป็นมิตรกับคนอื่นมากกว่า บรรยากาศโดยรวมที่นี่แอบคล้ายกับบ้านเราอยู่มาก แต่มันก็มีความรื่นรมย์ที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของชนบทที่น่ารักดีอย่างบอกไม่ถูก ชาวไทขาวที่นี่มีอัธยาศัยที่ละมุน ยิ้มแย้มแจ่มใส แม้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตแต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงความอารีไปได้เลย (จนหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวบอกให้เพลาๆการต่อรองราคาแบบเหี้ยมโหดเพราะคนที่นี่ไม่มีเหลี่ยมซึ่งแตกต่างจากที่เที่ยวฮิตๆอื่นๆอย่างแน่นอน)

คุณป้าที่ยิ้มร่าเริงตอนพูดคุย แต่พอยกกล้องขึ้นมากลับเขินอาย
ที่บ้านหลังนี้จะมีลาวกระทบไม้ ที่เหล่าชาวบ้านจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาแสดงให้นักท่องเที่ยวชมตลอดทั้งวัน เราเข้าไปในบ้านหลังนี้เพราะได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงดังมาแต่ไกล
ผ้าทอพื้นเมือง
บ้านไม้ยกสูงเป็นสเน่ห์ของชาวไททั่วทั้งภูมิภาค ที่นักท่องเที่ยวหลายคนอยากมีโอกาสมาพักสักครั้งหนึ่ง

เราเดินผ่านโฮมสเตย์ในหมู่บ้านไทขาวอีกแห่ง HomeStay Truong Huy ได้กลิ่นหมูย่างที่หอมมากชวนให้หิว เราจึงนั่งแวะเพื่อสั่งอาหาร เจ้าของสอบถามเราว่าจะกินอะไร เราแทบจะไม่เชื่อหู ทุกอย่างที่พูดคุยคือคำไทยที่เราใช้ๆกัน ไม่ว่าจะเป็น ข้าวเหนียว ข้าวหลาม หมูปิ้ง ไก่ปิ้ง หน่อไม้ เหล้าและคำอื่นๆ อาหารที่นี่รสละมุนเผ็ดอ่อนๆหอมเครื่องเทศในของย่างถูกปากเรามากจริงๆ

HomeStay Truong Huy ที่ด้านล่างเป็นร้านอาหาร เราว่าสงบดี
อาหารชุดที่กินได้อิ่มจนจุกเลย

เราอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่สองคืนก่อนกลับฮานอย กิจกรรมที่ทำจึงไม่ได้โลดโผนมาก เหมือนพักร่างหลังจากเที่ยวมาสองสัปดาห์มากกว่า เราเลือกพักที่  Mai Chau Valley View Hotel ซึ่งอยู่ปากทางหมู่บ้าน เพราะหาของกินสะดวก เจ้าของก็น่ารักมากให้ข้อมูลช่วยแนะนำในเรื่องต่างๆได้ดี

แดดในช่วงกลางวันที่นี่ทำให้อบอ้าวมาก ถึงฟ้าจะครึ้มด้วยเมฆฝนในบางคราวก็ไม่ทำอากาศเย็นขึ้นสักเท่าไหร่ แต่พอแดดเริ่มอ่อนหลังสี่โมงบรรยากาศกลับรื่นรมย์จนเราเดินเล่นถึงมืดค่ำ ถึงแม้กราฟในที่ ไมโจว จะไม่ได้ทำให้ความรู้สึกพุ่งพล่าน และไม่ได้ทำให้ความคิดถึงฮาซางลดน้อยลง แต่มันก็ทำให้สามารถสงบจิตสงบใจ อันเป็นการล่ำลาทุ่งนาป่าเขาที่สุดท้ายในเวียดนามของทริปนี้ได้เป็นอย่างดี

ถึงแม้ที่นี่จะได้รับการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบเต็มรูปแบบมาตั้งแต่ปี 1990 แต่ความน่ารักของผู้คนก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเลยจริงๆ

เช้าวันเดินทางกลับฮานอย ความรู้สึกภายในเรามันตีกันยุ่งเหยิงตอนขึ้นรถ จิตใจที่คิดว่าพับไว้เรียบร้อยกลับขมวดย่นยับ ปกติแล้วสองอาทิตย์กับการเดินทางมันทำให้จากลาได้ไม่ยากเพราะจะคิดถึงบ้าน แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เรารู้ดีว่าด้วยมีกิจธุระคงจะไม่สามารถมาเที่ยวนานๆแบบนี้ได้บ่อยๆอีกต่อไป นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เราเศร้ามาก

พอเช็คอินที่พักแล้วเราก็ออกเดินเล่น พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติเวียดนาม เป็นจุดหมายแรก ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่ก็มีสิ่งของให้ชมค่อนข้างเยอะ มีหลายชิ้นที่เราชื่นชอบมากเป็นพิเศษ

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ถนนรอบทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยมปิดการจราจรโดยรอบ ทำให้มีกิจกรรมมากมายบนท้องถนน ผู้คนดูมีความสุขมากโดยเฉพาะเด็กๆ เราเดินอ้อมเมืองเก่าที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำในรอบที่แล้วๆมา ถือเป็นการอำลาฮานอยในทริปนี้

อ่านติดตามตอนอื่นๆของทริปนี้ได้ตามลิ้งค์ด้านล่างครับ

ตอนที่ 1  เที่ยวเวียดนามเหนือ หน้าฝน 16 วัน – นิญบิ่ญ แหล่งท่องเที่ยวยอดเขา99ลูก

ตอนที่ 2  เที่ยวเวียดนามเหนือ หน้าฝน 16 วัน – ฮาซาง จังหวัดชายแดนที่ทำให้ใจเต้นแรง

ตอนที่ 3  เที่ยวเวียดนามเหนือ หน้าฝน 16 วัน – เดียนเบียนฟู เมืองแห่งประวัติศาสตร์ยุคใหม่ไฟสงคราม

Thanawat: REMINDER