เราอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่สองคืนก่อนกลับฮานอย กิจกรรมที่ทำจึงไม่ได้โลดโผนมาก เหมือนพักร่างหลังจากเที่ยวมาสองสัปดาห์มากกว่า เราเลือกพักที่ Mai Chau Valley View Hotel ซึ่งอยู่ปากทางหมู่บ้าน เพราะหาของกินสะดวก เจ้าของก็น่ารักมากให้ข้อมูลช่วยแนะนำในเรื่องต่างๆได้ดี
คนขับมาส่งเราที่ตึกแห่งหนึ่งตาม google map เราปลุกพนักงานโรงแรมให้เปิดประตูตอนตีสองครึ่ง ในใจคิดว่าทำไมสภาพมันถึงไม่ตรงปกอย่างแรง แถมราคาที่แปะป้ายไว้ก็แพงแตกต่างจากที่เราเคยคุยจองไว้ในเฟสบุ๊คมากมายอยู่ เราเปิดรูปให้พนักงานดูอีกครั้งว่าที่นี่มันถูกต้องไหม เค้างัวเงียตอบแล้วทำมือเหมือนให้เดินเลยไปอีกด้วยความหงุดหงิดนิดหน่อย ที่นี่ชื่อเดียวกันกับที่เราจองมาแต่มีคำว่า Bao อยู่นำหน้า ถ้าปักหมุด An Lox hotel มันก็จะพามายังตึกแห่งนี้ เรารีบยกมือไหว้ขอโทษแล้วเผ่นออกมาทันที
ชาวเขาเผ่า La Chi ลาจี๋ ที่มีการใช้ภาษากลุ่มไทกะไดแบบเดียวกับเราสร้างชุมชนอยู่บริเวณนี้ ที่นี่เป็นแหล่งในการชมทุ่งนาขั้นบันไดในที่สูงอันมีชื่อเสียงมากในเวียดนาม แต่ด้วยความยากลำบากจึงทำให้น้อยคนนักที่จะเลือกมาเยือนที่แห่งนี้ พอเดินผ่านเจอผู้คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่กำลังทำงานบ้านหรือกำลังง่วนกับแปลงเพาะปลูกแถวบ้าน เมื่อเตียบพูดคุยถามถึงเรื่องต่างๆ เจ้าของบ้านที่กำลังต้มเหล้าที่หมักจากข้าวโพดก็เชื้อเชิญให้เข้าไปด้านในพร้อมดื่มชาสมุนไพรที่เก็บมาจากบนเขาอย่างไม่ลังเล
ถ้าใครอยากมาเราจะทิ้งเบอร์ติดต่อสำหรับพูดคุยกับเตียบไกด์ท้องถิ่นที่ชำนาญจังหวัด Ha Giang , Cao Bang และพื้นที่อื่นๆทางเหนือ เตียบเป็นไกด์และเพื่อนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว เค้าแวะจอดถ่ายรูปรวมทั้งค้นหาสถานที่ใหม่ๆไปกับเรา ไปเที่ยวกับเตียบแล้วเหมือนมีเพื่อนเที่ยวที่สนุกไปด้วยกันมากๆ ถ้าใครไม่ชำนาญการขี่มอเตอร์ไซค์ก็ซ้อนท้ายเค้าไปทุกที่ได้ หรือจะเช่าขี่ตามไปช้าๆแบบไม่รีบเหมือนพวกเราก็ได้อีกเช่นกัน เรื่องความปลอดภัยและสบายใจได้ในพื้นที่แถวนี้เรียกได้ว่าทิ้งตัวได้เลย ผู้คนน่ารักและทำให้เราชื่นใจอุ่นใจได้ตลอดทุกครั้งที่ได้มา
Trang An Landscape Complex Ecotourism World Cultural and Natural Heritage ชื่อเต็มยาวมากมายแต่ก็อธิบายสถานที่ได้เห็นภาพดี มรดกโลกภูเขาหินปูนที่มีน้ำ มีถ้ำและโบราณสถาน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ครบรสและมีการจัดการสำหรับคนหมู่มากได้อย่างสมบูรณ์แบบกับราคา 250.000 vnd ที่ในทีแรกเราคิดว่าออกจะสูงเกินไปนิด แต่เมื่อได้มาเห็นก็คิดว่าไม่แพงเลยทีเดียว
เมื่อมานั่งเติมพลังงานด้วยเฝอแพะอาหารขึ้นชื่อในแถบนี้ที่ร้านอาหารตรงลานจอด ฝนพรำทำให้อากาศเย็นขึ้นน่าจะไปต่อไหว เราปักหมุดต่อไปคือ Hoa Lu Ancient Capital (ฮัวหลิว) ห่างจาก Trang An ไปอีกเกือบห้ากิโลเมตร
วัด Thai Vi คือจุดหมายต่อไป ในระหว่างทางเรามาแวะตรง Co Vien Lau ซึ่งดูวังเวงใช้ได้ เราเดินเข้าไปด้านในก็มีผู้หญิงท่าทางกำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่างเข้ามาบอกเราว่าถ้าจะเข้าที่นี่ต้องเสียเงิน เราจ่ายไปตามจำนวนที่เธอว่าแล้วเข้าไปด้านใน โอ้ในใจคิดว่าวันนี้คงเป็นวันที่ต้องสำรวจกับดักนักท่องเที่ยวแห่ง นิญบิ่ญ แน่ๆ ที่นี่เป็นหมู่บ้านจำลองชาวเวียดนามแบบต่างๆตั้งแต่รวยจนถึงแบบพอเพียง ซึ่งเราก็รู้สึกว่ามันจำเป็นต้องมีสถานที่แบบนี้จริงๆเหรอ ถึงแม้จะไม่ถูกใจแต่ที่นี่ก็ถ่ายรูปขึ้นอยู่เหมือนกัน เพราะมีภูเขารวมถึงถ้ำเล็กๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นเรารีบออกไปที่ท่าเรือ Tam Coc พอต่อคิวกำลังจะซื้อตั๋วเรือก็มีฝรั่งเข้ามาขอแจมด้วยเพราะไม่อยากจ่ายค่าเรือคนเดียว เห็นน้องเค้าเรียบร้อยดีคงไม่นั่งหลังตรงกางร่มตลอดเวลาทั้งๆที่ฝนไม่ตกเหมือนพวกคนที่แล้วเราจึงตอบตกลง ที่นี่จะเป็นการล่องผ่านถ้ำสามแห่งแล้ววนกลับทางเดิม ขาไปเรานั่งหน้าส่วนขากลับเราจะให้เค้านั่งบ้างเพื่อผลัดกันชมวิว เมื่อผ่านหมู่บ้านก็จะเป็นวิวทุ่งข้าวที่ตอนนี้โดนน้ำเอ่อท่วม ฝนในช่วงนี้ตกเยอะมากจริงๆ ถ้ามาในเดือนหน้าทุ่งข้าวคงเหลืองสวยเหมือนภาพจากในอินเตอร์เน็ตเราได้แต่คิดพร้อมถ่ายรูปกับสิ่งตรงหน้าที่ทุกอย่างมีความเขียวขจีจนสีในกล้องเพี้ยนแถมแดดก็ไม่ออกหลบอยู่ในเมฆสีขมุกขมัว
พอผ่านถ้ำสุดท้ายก็จะมีเรือแม่ค้าที่ตื้อขายของเก่งที่สุดในโลก เราได้ทั้งน้ำชา สับปะรด กระทิงแดงและฝรั่งทั้งกินเองและแบ่งให้กับคนพายเรือ ขากลับถ้าเราบอกกับคนพายเรือว่าอยากถ่ายรูปบนภูเขา แถวนี้ก็จะมีอยู่สองจุด ซึ่งเราแวะได้แค่ที่เดียวเพราะอีกแห่งน้ำเอ่อทางขึ้นท่วมสูง น้ำที่นี่ไม่ได้ใสเหมือน Trang An แต่ก็มีความสวยงามของภูเขาหินปูนอยู่ ถ้าใครมาเที่ยวแถวนี้แล้วต้องเลือกล่องเรือเพียงที่เดียวเราแนะนำแค่ที่ Trang An ก็พอ
ตกบ่ายเราขี่จักรยานไปที่ถ้ำ Hang Mua ซึ่งจุดหมายหลักก็คือยอดเขาที่เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของ Tam Coc เราอ้อยอิ่งอยู่ในสวนบัวกับหุ่นปูนปั้นประหลาดๆเพื่อรอให้เย็นกว่านี้อีกหน่อย เผื่อโชคดีจะได้รูปที่มีแสงสาดส่องกับเขาบ้าง เพราะตั้งแต่มานี่มีแต่ภาพที่ดู้ร้อนๆแบนๆจากเมฆที่ฟุ้งกระจายหนา
คนส่วนใหญ่จะชื่นชมหุบเขาตู่เซิน Tu San และ แม่น้ำญอเกว๊ Nho Que (องุ่นอบเชย) ที่ถนนตรงช่วง ม๊าปิเหล่ง Ma Pi Leng แต่จริงๆแล้วเราสามารถมองวิวแห่งนี้ในแบบที่ต้องแหงนคอมองขึ้นลงและแพนหน้าซ้ายขวาเพื่อเก็บภาพความประทับใจทั้งหมดให้ได้ในการเห็น ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ที่เพิ่งมีบริการได้ไม่นานมานี้หลังจากที่เขื่อนสร้างเสร็จ
หลังจากที่ตัดสินใจจะเดินทางจากน้ำตกบั่นซก Ban Gioc มาที่เมือง ดงวัน Dong Van ในจังหวัดฮาซาง โดยที่ไม่ผ่านเมืองใหญ่ เราต้องเดินทางไปตามอำเภอเล็กๆเพื่อไม่ให้ซ้ำกับทางเดิมที่เคยมาเมื่อสองปีก่อน
เราออกเดินเท้าอำลาสองสาวเจ้าของโฮมสเตย์จากหมู่บ้านข่วยกี Khuổi Ky มาที่ริมถนนใหญ่ ทั้งที่ใจยังอยากอยู่ต่อ แต่ตามแผนที่ต้องไปให้ถึงเมืองดงวันให้ทันในวันอาทิตย์ตอนที่มีตลาดนัด จึงทำให้จำใจต้องออกเดินทาง
ทุกครึ่งชั่วโมงจะมีรถเพื่อเข้าเมืองกาวบั่ง Cao Bang เมื่อมาหยุดสุดถึงในเมืองซึ่งไม่ใช่สถานีขนส่ง ทำให้เราต้องเดินหาแท็กซี่อีกต่อเพื่อไปที่นั่นให้ทันเวลาก่อนบ่ายโมง ในใจแอบลุ้นเพราะเหลือเวลาอีกแค่เพียงยี่สิบนาที เรามาถึงขนส่งแบบฉิวเฉียด
เมื่อรถเริ่มไต่ภูเขาสูง ความคดเคี้ยวของเส้นทาง มันสร้างความวิงเวียนบนรถที่แน่นไปด้วยผู้คนและสิ่งของ จนทำให้ปลายทางที่หมายไว้กลายเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ เราตัดสินใจลงที่เมืองระหว่างทางที่ บ่าวลั่ก Bao Lac ในตอนห้าโมงเย็น หลังจากที่ต้องอยู่บนรถตั้งแต่แปดโมงเช้า ทิ้งเมืองบ่าวลาม Bao Lam ที่ต้องไปต่อรถและเมืองแหม่ววั่ก Meo Vacจุดหมายเอาไว้ตอนหายเมารถก่อน
ในตอนสายสิบเอ็ดโมงเราเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง ถึงแม้ระยะทางจะแค่ชั่วโมงกว่าๆที่ต้องลงตรงทางแยกก่อนถึงเมืองบ่าวลาม Bao Lam เพื่อต่อรถ แต่ใจก็ไม่อยากพลาด เพราะมีรถเพียงเที่ยวเดียวผ่านตรงนี้ตอนบ่ายสองที่จะไปยังจุดหมายได้เท่านั้น
ปกติแล้วที่ถนนใหญ่จะมีจุดชมวิว ม๊าปิเหล่ง Ma Pi Leng ซึ่งสามารถจอดรถแล้วชื่นชมความงามของช่องเขาแห่งนี้ได้อย่างสะดวก แต่ตรงจุดที่เราเดินมาจะเป็นฝั่งตรงข้ามของภูเขาที่มองย้อนกลับมายังถนนแห่งความสุขได้อีกมุมมองหนึ่ง
น้ำตกบั่นซก Bản Giốc ในจังหวัดกาวบั่ง Cao Bằng อยู่ห่างจากทะเลสาบบาเบ๋ไปทางเหนือ 185 กิโลเมตร เป็นน้ำตกที่กว้างที่สุดในเวียดนาม ตั้งอยู่บนชายแดนเวียดนาม – จีนล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ และภูเขาที่เป็นแบบฉบับของเวียดนามเหนือโดยเฉพาะ
เราเริ่มออกจากที่พักตอนเจ็ดโมงเช้า โดยมีพ่อบ้านขับเรือมาส่ง เขายื่นขนมปังมาให้เราหนึ่งแถวเอาไว้ให้กินในระหว่างเดินทางก่อนรำ่ลากัน เราจ่ายค่ารถเพียงครั้งเดียวกับคนขับ 300,000 vnd แล้วจะถูกส่งต่อๆกันจนถึงจุดหมายอย่างเช่นเคย รถออกเจ็ดโมงครึ่งแล้วจอดรับผู้คนและสิ่งของได้เพียงครึ่งชั่วโมง เด็กรถบอกให้เราลงกลางทางแล้วข้ามถนนมาขึ้นรถอีกคันที่แล่นสวนมา จนเวลาเที่ยงครึ่งรถถึงมาจอดเทียบที่สถานีขนส่งกาวบั่ง Cao Bằng เราสั่งบั๋นก๋วน ปากหม้อที่กินกับน้ำซุปยังไม่ทันหมด ก็ถูกเรียกให้ขึ้นรถอีกครั้ง รถแล่นผ่านภูเขาที่ดูแปลกตาเหมือนเริ่มที่จะเข้าเขตที่เป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาคแห่งเวียดนามเหนือ พื้นที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกทางธรณีวิทยาที่มีความสำคัญจากยูเนสโก (NON NUOC CAO BANG UNESCO GLOBAL GEOPARK)
บ้านโฮมสเตย์ที่หมายตาไว้อยู่โดดห่างออกไปอย่างเงียบเหงา เราเลยเดินย้อนกลับมาทางท่าเรือเพื่อหาอะไรกินเป็นมื้อกลางวัน บ้านหรือร้านส่วนใหญ่ปิดเงียบไม่มีวี่แววของการค้าขาย เราเลยไปสอบถามที่พักแห่งหนึ่งซึ่งเป็นตึกริมน้ำในเรื่องอาหาร เธอเปิด Google Translate พูดคุยกับเราเพื่อชักชวนให้มาทานด้วยกันกับครอบครัวของเธออย่างเป็นมิตร(หรือเธอเห็นเราเป็นหญิงชราขี้เรื้อน) มื้อกลางวันผ่านไปด้วยความสนุกสนานโดยมีล่ามเป็นโทรศัพท์มือถือ พวกเค้าไม่ได้คิดค่าอาหารมื้อดังกล่าว เราจึงเอ่ยปากสอบถามเรื่องที่พักในคืนนี้กับว่าจ้างเรือเพื่อท่องเที่ยวรอบๆทะเลสาบด้วยความรู้สึกขอบคุณ ถึงที่พักที่นี่จะเป็นตึกในแบบที่เราไม่ได้ตั้งใจหา แต่วิวตรงชั้นสองที่เป็นระเบียงก็เห็นวิวทะเลสาบสวยเอามากๆเลยทีเดียว (Son Lam guesthouse Ba Be lake view)
เรือแล่นต่อกลับมาทางฝั่งแวะเกาะกลางน้ำที่เป็นที่ตั้งของวัดอานมา An Ma เชื่อกันว่าเกาะแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของหญิงม่ายและลูกชายหลังจากที่ช่วยผู้คนที่หมู่บ้านน้ำเมา เมื่อหญิงม่ายเสียชีวิตผู้คนสร้างวิหารเพื่อบูชาและระลึกถึงการทำความดีของเธอ เป็นประจำทุกปีชาวบ้านที่นี่จัดงานเทศกาลเพื่อขอให้โชคลาภและความสงบสุขในวันที่ 6 ของเดือนจันทรคติที่สองของปี