ดงวัน Dong Vang เมืองที่เราหลงรักที่สุดในเวียดนาม

แชร์กันเลย...
Share on Facebook
Facebook
Tweet about this on Twitter
Twitter
Email this to someone
email
Pin on Pinterest
Pinterest

REMINDING ME:  Dong Van ,Ha Giang Vietnam

 

ตอนที่ 4  เที่ยวเวียดนามเหนือ 14 วัน

ดงวัน Dong Vang  เป็นเมืองหลักที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะปักหมุดเพื่อมาเยือนในจังหวัดฮาซาง ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆกลางหุบเขาแต่มีทุกอย่างครบครัน ตลาดนัดที่แสนจะคึกคักในวันอาทิตย์เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรพลาด อีกทั้งภายในรัศมี 30 กิโลเมตรยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมาย  จึงทำให้หลายคนอยู่พักที่นี่หลายคืนต่างจากอำเภออื่นๆของจังหวัดฮาซาง

จำได้ว่าเมื่อสองปีก่อนเรายืนดราม่าน้ำตาซึมอยู่บนป้อมโบราณตรงยอดเขา ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ต้องเดินทางกลับ เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้องหวั่นไหว ทั้งๆที่ภาพข้างหน้าเป็นแค่ทุ่งนาแห้งๆดำๆในหน้าหนาวเท่านั้นเอง ในใจแอบคิดหรือจะเป็นความหวาดกลัวในความคดเคี้ยวของเส้นทางที่กลับฮานอยตามประสาคนเมารถง่าย หรือจะตื้นตันหลังจากเคลียร์หนี้บัตรเครดิตที่คาราคาซังมานานหลายปีได้สำเร็จก่อนออกเดินทางมา อันนี้เราเองก็ยังบอกกับตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราเห็นภาพที่ได้กระตุ้นความอยากสร้างความคิดถึง ทั้งจาก facebook ของเตี่ยบไกด์ท้องถิ่น หรือจากกลุ่นคนรักฮาซางที่คอยลงรูปกันอยู่ คราวนี้เราเลยวางแผนอยู่ที่นี่ถึง 5 คืน เพื่อจะได้ใช้เวลาทำในสิ่งที่รู้สึกค้างคาใจจากครั้งก่อนได้อย่างเต็มที่ และด้วยงบประมาณที่จำกัดในทริปนี้  เราจึงตัดสถานที่ที่เราเคยไปมาเมื่อครั้งที่แล้วไม่ว่าจะเป็น Lung Cu หอคอยเสาธงจุดเหนือสุดเวียดนามพระราชวังฝิ่น กษัตริย์ม้ง Vuong Chinh Duc แต่เราเชื่อว่า ดงวัน ยังมีอะไรให้เราสำรวจอีกมากมายโดยไม่ทำร้ายเงินในกระเป๋าจนเกินไป

 

การเดินทางจาก แหม่ววั่ก – ดงวัน

เราพยายามสอบถามเรื่องรถโดยสารที่จะไปยัง ดงวัน แต่ด้วยตารางรถที่มีเพียงวันละครั้งในตอนเย็น จึงทำให้เราต้องหาวิธีอื่นในการเดินทางแทน ในตอนเช้าวันอาทิตย์เราลองให้เจ้าของ Meo Vac Clay House หามอเตอร์ไซค์รับจ้างให้ ซึ่งราคาจะอยู่ที่ 150,000 vnd แต่กลับไม่มีใครว่าง เราจึงจำใจต้องเหมารถยนต์ในราคา 500,000 vnd เพื่อมาให้ทันก่อนตลาดวายที่ ดงวัน 

ถึงแม้จะรีบแต่ก็อดใจไม่ได้ที่จะให้คนขับช่วยจอดรถเพื่อดูวิวตรง ม๊าปิเหล่ง Ma Pi Leng เราอยู่ตรงนั้นเพียงชั่วครู่แล้วรีบไปต่อในทันที คนขับดูแปลกใจเหมือนตนทำอะไรผิด จนเราต้องใช้ล่าม Google บอกว่าเดี๋ยวเราก็มาอีกแค่อยากรีบไปให้ทันตลาดมากกว่า

เมื่อมาถึง Ethnic House Lounge Bar & Hostel เราก็ทักทายน้องเตี่ยบไกด์ท้องถิ่นที่ทำงานอยู่ที่นั่น ต่างแปลกใจในรูปร่างที่ผอมบางของกันและกันกว่าความทรงจำเมื่อปีก่อน เราร้องทักถึงรอยสักใหม่ที่แขน ซึ่งจริงๆเตี่ยบมีมันมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่เสื้อผ้าในหน้าหนาวคราวนั้น มันทำให้เราไม่สามารถเห็นความแท้จริงในเสื้อนวมที่บวมฟูได้ หลังจากถามไถ่ถึงสารทุกข์สุขดิบ เราก็วางกระเป๋าแล้วขอตัวไปเดินตลาดต่อทันที

Ethnic House Lounge Bar & Hostel ไม่ได้เป็นตัวเลือกเราในครั้งแรกที่ตัดสินใจพัก เพราะในทริปนี้อยากจะนอนที่โฮมสเตย์ของทุกๆเมืองยกเว้นในฮานอย และส่วนตัวก็ไม่ได้ชอบนอนห้องรวมสักเท่าไหร่ แต่พอมาเห็นเตียงนอนสองชั้นที่อยู่ติดระเบียง มีวิวทุ่งนาของ ดงวัน อยู่เบื้องหน้า เรากลับตอบตกลงไปอย่างง่ายดาย แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ หัวเตียงมีตู้ใหญ่ที่เรายัดทุกอย่างลงไปได้ ไม่ต้องไปรื้อของเข้าๆออกๆที่ล็อคเกอร์ด้านหน้าแบบที่อื่น เรากลัวคนจะรำคาญเราเท่าๆกับที่เรากลัวคนอื่น ปลั๊กไฟก็อยู่ในตำแหน่งที่เสียบหยิบง่าย ไม่ต้องเอาสายต่อมาระโยงให้ยุ่งยาก เมื่อรูดม่านที่เตียงปิดเราก็หลับสนิทแบบเป็นส่วนตัวได้ทันที ) 

Ethnic House Lounge Bar & Hostel ตั้งอยู่ใจกลางเมืองใกล้จตุรัสเก่า

 

วิวนี้ตรงระเบียงทำให้เราตัดสินใจพักที่นี่โดยที่ไม่ต้องลังเล

 

ห้องอาหารด้านล่าง เราว่าที่นี่ออกแบบมาดีจริงๆ เป็นการบูรณะอาคารเก่าเพื่อการประกอบธุรกิจสมัยใหม่อันต้องใช้ทุนสูง แต่มันดูยั่งยืนสวยงาม

สถานที่เที่ยวเมือง ดงวัน

ตลาดนัดอาทิตย์ ดงวัน Dong Van Market

สัปดาห์ละครั้งชาวบ้านในท้องถิ่นจากภูเขา ทั้งชนเผ่าม้ง, ไต, ไทนุงและฮัว จะมารวมตัวกันเพื่อซื้อหรือจำหน่ายสินค้า ตลาดแห่งนี้จึงนับได้ว่าเป็นที่สุดแห่งภูมิภาค ถึงแม้เราจะมาสายไปหน่อย ผู้คนเริ่มบางตากว่าตอนเช้า แต่ความคึกคักและสีสันของที่นี่ก็ยังคงบาดตาบาดใจให้กับผู้มาเยือนได้เสมอ ที่ตรงท้ายตลาดจะเป็นที่สังสรรค์ของเหล่าชายหนุ่มที่มาพบปะเพื่อนฝูงต่างหมู่บ้านที่นานๆจะเจอกันที ตอนที่เรามาถึงหลายคนเริ่มมีอาการเมาเอามากๆแล้ว 

จะมีข้าวของวางเรียงรายตั้งแต่ปากทางก่อนถึงตัวตลาด
ที่ด้านหลังจะเป็นแหล่งซื้อขายสัตว์
ผู้คนต่อรองราคาสัตว์ใหญ่กันอย่างเมามัน หลายคนอยู่ในอาการมึนเมา
ตลาดแห่งนี้หลายคนยกย่องให้ในความคึกคักที่ไม่ได้คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ของที่ระลึกจึงไม่ได้มีวางจำหน่ายที่นี่
เสื้อผ้าที่วางขายกันมีสีสันสดใส จนทำให้ใครหลายคนเรียกผู้สวมใส่ว่าม้งดอกไม้
ผลไม้ส่วนใหญ่ในแถบนี้จะมาจากเมืองจีน
เสื้อคุณพี่คนนี้เป็นแบบปักเลื่อมทั้งตัว
ร้านเฝอที่จะเปิดเฉพาะวันที่มีตลาดนัดเท่านั้น
นอกจากสิ้นค้าทางการเกษตรแล้วก็ยังมีข้าวของเครื่องใช้ที่เหล่าชาวเขาเผ่าต่างๆจะมาจับจ่ายใช้สอยอย่างมากมาย และถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ซื้อหาอะไรแต่ก็รู้สึกเมามันไปกับบรรยากาศแบบนี้ได้เสมอ
ร้านขายสมุนไพร
สมุนไพรจะวางขายด้วยกันกับเครื่องรางของขลัง
การโพกผ้าที่เราว่าน่ารักดี
ที่อื่นก็มีตลาดนัดเช่นกัน ที่เราเคยไป Cho Pho Cao ก็สนุกสนานดี แต่ว่าตลาดจะมีวันไหนที่ไหนคงต้องสอบถามคนท้องถิ่นเพราะมีการนับวันเป็นวันหมา วันไก่ แล้วยังต้องเปิดปฎิทินท้องถิ่นดูอีกถึงจะรู้ได้

 

 

Sky Path –  Ma Pi Leng ทางเดินเพื่อชม ม๊าปิเหล่ง ในมุมสูง

 

จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นสันหลังมังกร

เรา,เตี่ยบและเฉียน(พนักงานที่ Ethnic house ที่อยากไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยอีกคน) ออกเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์จากที่พักกันตั้งแต่ตีห้ากว่าๆ เพียงไม่นานเราก็มาถึงจุดที่ต้องเดินเท้ากันต่อตอนสว่าง มือทั้งสองข้างต้องใช้เหนี่ยวจับรวมทั้งโหนตัวขึ้นไปตามก้อนหิน ทางไม่ได้ยากแต่ก็ไม่ง่ายนักสำหรับคนที่กลัวความสูง  ถ้าไม่ได้ไกด์ท้องถิ่นคนนี้ เราคงไม่กล้าหาญปีนไต่ขึ้นมาเองคนเดียวแน่ๆ บนสันเขาที่เหมือนหลังมังกรนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Sky path พื้นที่แถวนี้ได้ขึ้นทะเบียน​ UNESCO GEOPARK เมื่อมองดูจะรู้สึกได้ว่าภูเขาหรือก้อนหินจะมีความสวยงามและแปลกประหลาดพิเศษกว่าที่อื่นๆ บางทีแค่เลี้ยวผ่านเขาบางลูกทิวทัศน์บรรยากาศก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากความเขียวของต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นหินแหลมๆสีดำที่ดูแห้งแล้ง  มันดูมหัศจรรย์ทางสายตาที่ดีต่อใจคนรักภูเขาจริงๆ

เมื่อมาถึงยอดแรกต้องยอมรับว่าขาสั่น และวิงเวียนเมื่อไต่อยู่ใกล้ผาสูง ทั้งสองคนชวนเราให้ปีนต่อจนถึงอีกปลายยอดเขา แต่เราดูทรงคงจะเป็นภาระและประกันการเดินทางในครั้งนี้คงได้เบิกใช้เป็นแน่แท้ เลยขอไต่เดินเล่นแก่ๆแค่บนสันหลังมังกร ปล่อยให้เด็กๆปีนกันไปต่อจนถึงปลายหนวดกัน 

 (หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้น เรากลับที่พักเพื่อทานอาหารเช้าแล้วไปล่องเรือในช่วงสาย แต่จะขอเขียนเรื่อง Sky path ต่อเนื่องกันไปในหัวข้อนี้)

ทางที่ขึ้นมาบน Sky Path เป็นทางเล็กๆถ้าใครขี่รถไม่เก่ง ขอแนะนำให้จ้างคนท้องถิ่นมาหรือจอดไว้ด้านล่างตรงอนุสาวรีย์เยาชน
เตี่ยบและเฉียนปีนต่อกันไปที่ปลายสุดของเขาอีกลูก
ถ้าใครที่กลัวความสูงเราไม่ขอแนะนำ
หลายคนมักมีภาพถ่ายไปยืนตรงปลายหิน แต่เราขอผ่าน ข้างล่างดูห่างออกไปเป็นกิโลเมตรอย่างน่าหวาดเสียว
เตียบที่เดินกลับมาด้วยสถาพหมดแรง ทำให้เราขอบใจตัวเองที่ไม่เดินตามไป
หน้าฝนจะมีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นตามหินเราว่าสวยดี
ถนนแห่งความสุขที่ดูมหัศจรรย์มากเมื่อดูจากที่สูงยามเช้าแบบนี้
ตอนปีนขึ้นมาแล้วเจอต้นนี้ ทำให้นึกถึงในหนังจีนที่ต้องออกตามหาสนุมไพรบนเขาสูง ถึงแม้ฟ้าจะปิดมองไม่เห็นพระอาทิตย์แต่วิวก็สวยดี

 

 

Sky Path ทางเดินบนฟ้า

 Sky path นับเป็นเส้นทางที่ถูกใจเรามาก ด้วยระยะทาง 2-3 ชั่วโมงในการเดิน นับว่ากำลังดี ถึงแม้ในวันที่เราไปฝนจะตก หมอกลงจัดจนแทบไม่เห็นวิวอะไรก็ตามที แต่ก็มีอย่างอื่นให้ได้ชื่นชม ทดแทนได้อีกมากมาย

ด้วยงบประมาณที่จำกัดในทริปนี้ เราคำนวณค่าใช้จ่ายด้วยความระมัดระวัง และถึงแม้จุดเริ่มเดินของเส้นทางจะห่างจากตัวเมือง ดงวัน Dong Van เพียงแค่ 20 กม. แต่ด้วยความที่รถประจำทางออกจากเมืองตอนตีห้าครึ่ง และรถเที่ยวกลับมีอีกทีตอนเกือบห้าโมงเย็น เราจึงต้องใช้บริการของเตี่ยบ ไกด์ท้องถิ่น ที่ให้ไปส่ง-หรือรับตามจุดนัดหมายต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้การเที่ยวในครั้งนี้ประหยัดไปได้เยอะจริงๆ ในครั้งนี้เราให้น้องเค้าไปส่งเราอย่างเดียว ขากลับเราจะมาดักขึ้นรถเที่ยวห้าโมงเย็นเพื่อเข้าเมือง

เมื่อคืนมีฝนตกตลอด มันจะทำให้มีเมฆหมอกในตอนเช้า เรารอเวลาจนถึงสิบโมงกว่าเพื่อหวังให้หมอกหนานั้นจางลง เมื่อเตี่ยบขี่มอเตอร์ไซค์มาส่งที่อนุสาวรีย์เยาวชน ฝนก็เริ่มตกลงมาอีกในทันที ถึงแม้ตลอดการเดินฟ้าจะปิด มีหมอกลงหนาจนทำให้มองไม่เห็นภูเขาและแม่น้ำด้านล่างอย่างที่ควรจะเป็น แต่ตลอดระยะเวลาในการเดินที่มีอากาศหนาวเย็น ประกอบกับมีกลิ่นดอกไม้ใบหญ้าที่หอมอ่อนๆโชยมาตลอดทาง มันทำให้เรากลับรู้สึกพิเศษและสดชื่นกับเส้นทางโดยที่ไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในวันที่ฟ้าปิดเลยสักนิดเดียว

“The happiness road” เพิ่งครบรอบ 50 ปีไปได้ไม่นาน ถนนเส้นนี้เชื่อมต่อเมืองฮาซาง Ha Giang จนถึง แหม่ววั่ก Meo Vac รวมระยะทางกว่า 185 กิโลเมตร แลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตาจากแรงงานคนท้องถิ่นกว่า 1200 คน เยาวชนอีกกว่า 1000 ชีวิตที่เป็นอาสาสมัครชนเผ่า 16 กลุ่มจาก 8 จังหวัดทางภาคเหนือ ตรงม๊าปิเหล่งพาส Ma Pi Lang Pass ระยะทาง 24 กิโลเมตรเป็นช่วงที่มีการก่อสร้างด้วยความยากลำบากที่สุด ได้ทำให้เยาวชนต้องตายไปในพื้นที่แห่งนี้ถึง 14 คน ต่อมาได้มีการสร้างอนุสาวรีย์เยาวชนเพื่อรำลึกถึงความเสียสละดังกล่าว เป็นรูปสลักคนที่มี 5 ลักษณะเป็นดั่งตัวแทนผู้คนจาก 8 จังหวัด
หลังจากที่เราเริ่มเดินจาก อนุสาวรีย์เยาวชน ไปตามทาง Sky path (ทางเล็กๆจะอยู่ทางซ้ายเมื่อหันหน้าเข้าอนุสาวรีย์) ซึ่งจะค่อยๆไต่ความสูงไปเรื่อยๆ
เด็กน้อยนั่งรอแม่ที่เกี่ยวหญ้าอยู่ริมผา
เมื่อทางเลยจุดสันหลังมังกร ถนนจะเล็กลงมาก
บรรยากาศที่มีหมอกฝนมันชุ่มช่ำดี
เดินตามทางเส้นหลักไปเรื่อยๆไม่หลงแน่นอน
เด็กๆส่วนใหญ่จะงงๆเมื่อเราขอถ่ายรูป แต่รอยยิ้มมักจะเกิดเมื่อโบก Bye Bye
เมื่อเดินตามทางจะเจอกับโรงเรียน
ถึงทางแยกจะเจอเครื่องหมายแบบนี้ที่พื้นให้ไปตามทางด้านขวา
กฎเหล็กของการท่องเที่ยวเมื่อพบเจอเด็กๆในพื้นที่ชนบท คือไม่เอาขนม เงิน สิ่งของมาแจกจ่ายเพราะความน่ารักหรือด้วยเหตุผลอื่นๆ ถ้าอยากช่วยเหลือให้ติดต่อองค์กร โรงเรียนเพื่อบริจาคในเรื่องต่างๆ
ทางเดินจะกลายเป็นเส้นทางแคบๆที่ไต่ไปตามหน้าผา
ฝนที่ตกพร่ำๆสร้างหมอกให้หนาขึ้นอีก อากาศสดชื่นมาก
ตอนเดินจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ พยายามตามดมมันทุกดอกแต่ก็ไม่เจอว่ามาจากดอกไม้ชนิดไหน
นี่เป็นวิวที่เห็นเพียงเสี้ยววินาทีจากหมอกหนา ปกติแล้วจะเห็นหุบเขาที่มีแม่น้ำอยู่ด้านล่าง
ทางเดินในช่วงท้ายๆจะรกมาก เหมือนไม่ค่อยมีคนเดินทางจนสุดสักเท่าไหร่
ทางเดินมันยาวกว่าที่เราคาดไว้เยอะ แต่ไม่ได้เหนื่อยมาก เป็นทางที่เดินแล้วเพลินอีกเส้นทางหนึ่งจริงๆ
ตามผาจะมีชั้นหิน รากไม้และอะไรที่ดูแปลกตา
หน้าฝนจะมีต้นไม้ดอกไม้เยอะกว่าทุกฤดู เราว่าที่นี่เหมาะแก่การมาในช่วงนี้ที่สุด
พอเดินมาจนสุดจะเป็นทางตัดลงมาที่หมู่บ้านลงไปยังถนน
หมู่บ้านในระหว่างที่เดินลง
เหมือนจะมีกลิ่นหอมแต่ก็ไม่ใช่
เด็กๆในหมู่บ้าน
บ้านสุดท้ายก่อนลงไปเชื่อมกับถนนใหญ่
ทางเดินจะมีต้นไม้ใบหญ้ารวมทั้งเฟิร์นต่างๆ      
เมื่อลงมาจนถึงถนนแห่งความสุข ก็เป็นอันสิ้นสุดทางเดิน Sky Path
เราเดินจนสุดทางแล้วลงมาที่ถนนอีกฝากหนึ่งโดยที่ไม่ได้เห็นวิวอะไรมากนัก เนื่องจากมีฝนตกทำให้เกิดหมอกหนา

 

เราดูเวลาแล้วยังมีเวลาเหลือเพื่อรอรถประจำทางเพื่อกลับ ดงวัน  ตอนเกือบห้าโมงเย็น เราเลยถือโอกาสเดินย้อนบนถนนไปอีก 2 กิโลเมตรเพื่อชื่นชมความงามของมันอีกรอบ

เมื่อก่อนตอนที่นั่งรถผ่านถนนเส้นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกดื่มด่ำมากนัก แต่ตอนนั่งมอเตอร์ไซค์มันทำให้รู้สึกอินมากกว่า เป็นความใฝ่ฝันจากครั้งที่แล้วว่าอยากที่จะลองเดินบนถนนตรงนี้สักครั้ง มันสวยมากจริงๆ ยิ่งเมื่อหลังฝนตกมีเมฆหมอกลอยผ่าน

นอกจากถนนแห่งความสุขจะนำพาโอกาสต่างๆมาให้กับผู้คนในแถบนี้ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน นักเดินทางคนต่างถิ่นก็รู้สึกถึงความมหัศจรรย์และซาบซึ้งใจไปกับถนนเส้นนี้ได้ด้วยเช่นกัน

ถ้ามองจากถนน เราแทบจะมองไม่เห็น Sky Path ที่เลื้อยอยู่ตามภูเขาด้านบนเลย

ช่องเขาช่วง ม๊าปิเหล่ง Ma Pi Leng Pass มองยังไงก็ไม่เบื่อ

แดดเริ่มออก วิวด้านล่างเริ่มมองเห็น เรายืนแวะมองจากริมถนนทุกที่ตลอดเส้นทาง

Sky Path จะขนานไปบนเขาตามเส้นทางของถนนแห่งความสุข

ถึงถนนจะไม่ได้ขับยากแต่ก็เคยมีคนตกลงไปอยู่เหมือนกันโดยเฉพาะวันที่หมอกลงจัด

สุดท้ายเราก็ให้เตี่ยบมารับตรงจุดชมวิว ม๊าปิเหล่ง เพราะรถโดยสารเที่ยวดังกล่าวมีปัญหาทำให้ล่าช้า หากใครจะไป Dong Van แล้วต้องการติดต่อเตี่ยบไกด์ท้องถิ่น สามารถพูดคุย WhatsApp เพื่อปรับเปลี่ยนวางแผนตามงบประมาณและความชื่นชอบได้ +84869929333 Tiep

 

 

อ่านติดตามตอนอื่นๆของทริปนี้ได้ตามลิ้งค์ด้านล่างครับ

ตอนที่ 1 เที่ยวเวียดนามเหนือ 14 วัน – ทะเลสาบบาเบ๋ Ba Be Lake ความโกรธแค้นของมังกร
ตอนที่ 2 เที่ยวเวียดนามเหนือ 14 วัน – น้ำตกบั่นซก Ban Gioc อลังการน้ำตกกั้นพรมแดน

ตอนที่ 3 เที่ยวเวียดนามเหนือ 14 วัน – แหม่ววั่ก Meo Vac เมืองเล็กๆในหุบเขา

ตอนที่ 5 เที่ยวเวียดนามเหนือ 14 วัน –ดงวัน Dong Van รางวัลชีวิตสำหรับนักเดินทาง
 

แชร์กันเลย...
Share on Facebook
Facebook
Tweet about this on Twitter
Twitter
Email this to someone
email
Pin on Pinterest
Pinterest

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *