นิญบิ่ญ แหล่งท่องเที่ยวยอดเขา99ลูก

REMINDING ME: Nihn Bihn ,Vietnam

ตอนที่ 1  เที่ยวเวียดนามเหนือ หน้าฝน 16 วัน

นิญบิ่ญ เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่หมายตาเอาไว้มาอย่างยาวนาน ด้วยภาพสายน้ำไหลผ่านทุ่งข้าวที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหินปูนน้อยใหญ่ จนที่นี่ได้สมญานามว่าเป็นฮาลองบก หากใครตั้งแง่กับฮาลองเบย์ไว้ว่าเหมือนกับอ่าวพังงา แล้วต้องการความต่างคือเราว่าต้องให้มาที่นี่

งงมากกับการออกเสียงจังหวัดนี้ Nihn Bihn เมื่อเทียบพยัญชนะตัวสะกดก็น่าจะเป็น ญ แต่ทุกคนกลับออกเสียงว่าเป็น นิงห์บิงห์ ยังไงก็ตามที่นี่ก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนหรือเดินทางมายากมากมาย เพราะ นิญบิ่ญ อยู่ใกล้ฮานอยเพียงแค่ชั่วโมงครึ่งเท่านั้นเอง มีทั้งภูเขา สายน้ำ ทุ่งนา โบราณสถานให้เที่ยวได้อย่างครบถ้วน กับความตั้งใจว่าอยากจะมาชิลขี่จักรยานเล่นเป็นจูเลีย โรเบิตส์ใน Eat Pray Love คงสำเร็จแผนได้ไม่ยาก

เรามาเวียดนามในครั้งนี้แบบฉุกละหุก เพียงนัดหมายกับเพื่อนที่อยู่จังหวัดฮาซางว่าอยากจะไปหา แล้วก็จองตั๋วเครื่องบินในทันที ทุกอย่างไม่ได้วางแผนแค่ตั้งเป้าว่ามีเวลาทั้งหมด 14 วันอยากจะทำอะไรก็ทำที่ไม่เดือดร้อนเงินในกระเป๋ามากนัก

ดอกแรกของการจองตั๋วก็ทำให้ละลายต้นทุนในการท่องเที่ยวไปบางส่วน ไม่รู้ผู้คนมีธุระปะปังที่ต้องเดินทางไปฮานอยในวันจันทร์อังคารของเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นวันที่เรากะเอาไว้จนทำให้ตั๋วทุกสายการบินเต็มแม้กระทั่งในชั้นธุรกิจ กดเลื่อนจนมาได้วันอาทิตย์ตอนค่ำถึงมีที่ในชั้น Economy Class Premium จะให้เลื่อนวันอีกก็ดูจะเกินเลยไปแค่นี้ก็ปาเข้าไป 16 วันแล้วที่ต้องจากบ้านมา ในใจได้แต่คิดว่าจงทำได้ จงทำได้ จงทำได้กับการประหยัดค่าใช้จ่ายอื่นๆเพื่อมาทดแทนกับความหรูหราขาไปในครั้งนี้

หลังจากที่ผ่านค่ำคืนในฮานอยแบบนอนเสียเปล่า ช่วงเช้าเราก็ออกตามหาเฝอไก่ของคุณยายที่เคยกินเมื่อคราวก่อน เพราะติดใจในไก่บ้านเนื้อหนึบหนับ แต่ให้ตายเถอะ ตึกที่ต่อเติมเรียงรายแบบไม่น่าจะถูกหลักนักกับถนนที่ตัดกันไปมาจนน่าเวียนหัว มันทำให้เราหาร้านคุณยายที่เคยมาไม่เจอ เราเลยนั่งลงที่ร้านอีกแห่งที่มีคุณยายอีกคนท่าทางใจดีเหมือนกัน เฝอไก่ร้านนี้ก็อร่อยมาก ผักโรยหลากรสและกลิ่นเข้าได้ดีกับน้ำซุปใสรสกลมกล่อม การนั่งย่อยองริมถนนก็เป็นอีกอย่างที่เราคิดถึง

เมื่อหากาแฟตบตามแล้วเราก็จะเดินกลับที่พักเตรียมตัวเดินทางไป นิญบิ่ญ แต่ก็มาสะดุดกับกลิ่นหอมที่ลอยมาเตะจมูก คุณยายคนขายแกดูหน้าคุ้นๆเหมือนครั้งก่อนที่เรากำลังตามหา แพ้ทางคนแก่เข้าอีกจนได้ ขณะยืนเค้นความทรงจำคุณยายก็หันมายิ้มทำให้เราเดินเข้าไปนั่งลงอย่างว่านอนสอนง่าย แกเดินมาพูดๆเราได้แต่พยักหน้าหงึกเพราะฟังไม่ออก เฝอแพะมาวางตรงหน้าพร้อมท่าทางที่คุณยายพยายามบอกให้เราปรุงนั่นใส่นี่เพิ่ม แต่ชิมน้ำแล้วรสชาติก็ดีงามจนไม่อยากใส่อะไร เนื้อแพะก็มีรสสัมผัสที่แปลกลิ้นสำหรับคนไม่กินเนื้อวัวอย่างเรา ร้านนี้ก็อร่อยมากจริงๆ แต่ถามว่าจะจำได้ไหมว่าอยู่ตรงไหนคงเป็นเรื่องยาก ไว้จองโรงแรมที่เดิมแล้วค่อยมาด้อมๆมองๆหายายที่ทำผมทรงเดียวกันทั้งประเทศดูเหมือนจะง่ายกว่า ยอมรับว่าคิดถึงการท่องเที่ยวนอกประเทศมากจริงๆ นี่เป็นทริปประเดิมแรกหลังจากที่โควิดระบาด

ฝนที่ตกมาตั้งแต่เมื่อคืนทำให้แผนไปหาขนมกินมีอันพับไป เราเลยหิ้วท้องตื่นแต่เช้าด้วยความหิว
ชามแรกเป็นเฝอไก่ ถึงแม้รสชาติหลายๆร้านจะคล้ายกันแต่สูตรในการซอยผักโรยกับผักแกล้มจะทำให้มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เฝอแพะ ที่น้ำซุปโคตรอร่อยขนาดกินเป็นชามที่สองของเช้านี้

ยังซดน้ำซุปไม่ทันหมด ข้อความจากบริษัทรถที่เราจองไว้ส่งมาเตือนว่าจะมารับเร็วขึ้นเพื่อที่จะได้ไปรอบก่อนหน้าที่เราจองไว้หนึ่งชั่วโมง (Binh Minh Limousine อันนี้เราจองผ่านเฟสบุ๊คเพื่อนชาวเวียดนามแนะนำมา) เราก็รีบกลับมาเก็บกระเป๋าที่โรงแรม ระบบขนส่งแบบ Door to door ส่วนใหญ่ของฮานอยจะมีรถจากบริษัทหลักมารับเพื่อไปยังจุดขึ้นรถ อาจจะเป็นที่ออฟฟิศหรือตามป้ายรถแล้วแต่ยี่ห้อนั้นๆ บางทีถ้าบริษัทที่เล็กมากอาจจะมีการเรียก Grab เพื่อการดังกล่าว ค่ารถจึงขยับขึ้นลงตามระยะทางที่พวกเค้าต้องเสียเวลา แต่นับว่ามันสะดวกมากจริงๆ

ยังไม่ทัน 11 โมงรถก็มาถ่ายเราให้ขึ้นรถอีกคันเพื่อมายัง Tam Coc (ตามก๊อก) เรามองซ้ายมองขวาเห็นทุ่งนาวับๆแวมๆแซมกับตึกก็นึกหาว่าแหล่งท่องเที่ยวมันอยู่ตรงไหน รถมุ่งหน้าผ่านเวิ้งน้ำที่เป็นท่าเรือเข้ามายังทางเล็กๆ เราเห็นว่าคงเป็นเรื่องยุ่งยากหากเจอรถสวนจึงบอกให้คนขับจอดแล้วเราเดินต่อเข้าไปเอง ที่เกาะกลางน้ำมีการก่อสร้างอะไรบางอย่างจึงทำให้ที่นี่ดูรกๆยังไม่เรียบร้อย เดินมาได้ไม่นานเราก็มาถึงที่พัก Tam Coctam Boutique Garden ซึ่งเป็นที่พักเงียบสงบดี อากาศที่ร้อนกับภาพที่เห็นทำให้เราลืมตัวเผลอพูดไทยใส่น้องพนักงาน นึกว่ามาบ้านเพื่อนที่สัมมากร

บริเวณโดยรอบท่าเรือ Tam Coc เราว่าเป็นทางเลือกที่เงียบสงบดี

พอเก็บของเสร็จเราก็เอาจักรยานขี่ออกเที่ยวในทันที หมุดแรกที่ปักไปคือ Trang An (ฉวางอัน) เมื่อดูทิศแล้วก็เริ่มขี่ออกไปแบบมั่วๆแค่ไปให้ถูกทางจะหลงนิดหลงหน่อยก็ช่างหัวมัน ขี่ไปได้สักพักในหมู่บ้านก็มาเจอกับน้องผู้หญิงเจ้าของที่พักที่กำลังเอาขยะมาทิ้ง นางถามงงๆว่าพี่จะไปไหนขี่เล่นแถวนี้เหรอ เราบอกว่าเปล่า นางก็ชี้ว่าต้องออกไปที่ถนนใหญ่ก่อนถึงจะไปไหนต่อไหนได้ อืม เราได้แต่หัวเราะแก้เขิลเพราะคิดว่าตัวเองขี่ไปไกลไหนถึงไหนแล้ว แท้ที่จริงวนมาหลังบ้านเท่านั้นเอง

จักรยานที่เช่าส่วนใหญ่จะแบบนี้เหมือนกันหมด ยกเว้นแต่จะเป็นบริษัททัวร์ที่จะมีจักรยานเสือภูเขา

ด้วยความที่ไม่อยากขี่บนถนนใหญ่ เราก็หาทางเล็กทางน้อยที่ตัดผ่านทุ่งนา เพราะคิดว่าน่าจะปลอดภัยและชิลกว่า ด้วยดินที่เปียกลื่นกับอากาศที่ร้อนระอุมันทำให้ทุกอย่างลำบากมากขึ้นจริงๆ ขี่ถนนใหญ่น่าจะเร็วกว่า ด้วยระยะทาง 10 กิโลเมตร มันโคตรจะทรมาน แดดที่ร้อนจนหน้าเริ่มไหม้บวกกับความอบอ้าวในฤดูฝน ทำให้เรามาถึง Trang An อย่างหมดแรง เจ้าของที่พักได้แนะนำ ไม่ว่าเราไปเที่ยวที่ไหนก็ตามให้เข้าไปจอดในที่จอดรถแบบเสียเงิน (ราคา 10,000 ดอง) ไม่เช่นนั้นอาจโดนแกล้งปล่อยลมยางให้ต้องเข็นกลับที่พักเป็นแน่แท้

ทางที่เปียกฝนคือลื่นสุดๆบนคันดิน เราว่าอ้อมถนนใหญ่จะดีกว่าในฤดูนี้

Trang An Landscape Complex Ecotourism World Cultural and Natural Heritage ชื่อเต็มยาวมากมายแต่ก็อธิบายสถานที่ได้เห็นภาพดี มรดกโลกภูเขาหินปูนที่มีน้ำ มีถ้ำและโบราณสถาน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ครบรสและมีการจัดการสำหรับคนหมู่มากได้อย่างสมบูรณ์แบบกับราคา 250.000 vnd ที่ในทีแรกเราคิดว่าออกจะสูงเกินไปนิด แต่เมื่อได้มาเห็นก็คิดว่าไม่แพงเลยทีเดียว

ตรงทางเข้าหลังจากซื้อตั๋วที่มีลานจอดรถขนาดใหญ่ มีรถบัสมากมายจอดขู่ให้เรารู้ตัวว่าที่นี่ฮิตฮอตมากใน นิญบิ่ญ จะต้องมีผู้คนมากมายมหาศาลอย่างแน่นอน หลังจากต่อแถวทางเข้าที่วนไปมา ก็จะมีคนมาสอบถามว่าเราอยากจะนั่งเรือไปเส้นทางไหนในสามเส้นทาง เรายืนงงเหม่อลอยอ่านป้ายที่เขียนอธิบาย แต่ก็ได้ตอบเจ้าหน้าที่ไปว่าเส้นทางที่สองแบบเดาสุ่ม (เพื่อนชาวเวียดนามมาแนะนำทีหลังว่าเส้นสามดีสุด) พร้อมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นอีกสองคนที่เป็นคู่รักกัน

น้ำที่ใสเห็นสาหร่าย ปลาหลากสีและดอกบัวหลายพันธุ์ ทำให้ที่นี่ดูดีมีชีวิตชีวามาก ตลอดเกือบสามชั่วโมงบนเรือทำให้เราเห็นว่าที่นี่มีการจัดการกับสถานที่ท่องเที่ยวได้อย่างน่าชื่นชมมากเลยทีเดียว น้ำใสสะอาดกว่าทุกที่ที่เคยไปมา การกระจายผู้คนไปหลายเส้นทางทำให้เกิดมุมสงบได้ซึมซับกับบรรยากาศได้เป็นอย่างดี เรือออกไปได้ไม่นานฝนก็เริ่มตก มันยิ่งทำให้ที่นี่ดูสวยงามมากยิ่งขึ้นไปอีก

น้ำที่นี่ใสมาก เราเห็นมีปลาสีแปลกๆอย่างสีทอง สีน้ำเงิน
เส้นทางเรือของที่นี่จะพาเรารอดถ้ำต่างๆและไปตามจุดพักที่เป็นวัดหรือโบราณสถานอื่นๆแบบไม่วนกลับทางเก่า

คุณลุงคนแจวเรือเก่งมาก เราแยกไม่ออกว่าเหงื่อหรือฝนที่เกาะอยู่เต็มใบหน้าของคุณลุง เหมือนที่นี่น่าจะถูกสั่งห้ามการใช้เท้าพายเรือ เพราะเห็นทุกลำใช้กำลังแขนแบบเดียวกันหมด ในพื้นที่แถบนี้ทุกแห่งจะใช้เรือพาย นี่ยังนึกภาพไม่ออกอยู่เหมือนกันว่าถ้าเรือทุกลำเป็นเครื่องยนต์กันหมดจะส่งเสียงดังวุ่นวายมากขนาดไหน (ภาพและเสียงที่ทะเลสาบอินเลดังกระหึ่มเข้ามาในหัว) เราหยิบพายสำรองทำท่าจะช่วยลุง แต่แกก็ทำท่าประมาณว่าไม่ต้องจะดีกว่าเดี๋ยวเรือจะแล่นเบี้ยว

สิ่งที่เห็นอีกหลายอย่างในแถวนี้นั่นก็คือนกหลายสายพันธุ์ เมื่อเรือแล่นเข้าไปใกล้ถ้าลุงเห็นพวกเราตั้งท่าจะถ่ายรูปก็จะหยุดแจวเพื่อให้เงียบที่สุด แต่นกพวกนี้ก็ไวมากไม่ดำน้ำหรือก็บินขยับตัวหนี ถ้าใครชอบแนะนำให้เอากล้องส่องทางไกลมาด้วยน่าจะดีมาก และถ้าใครมาคนเดียวเราก็อยากแนะนำให้เพิ่มเงินแล้วลงเรือคนเดียวจะดีกว่า เพราะถ้าไม่ได้นั่งหัวเรือ วิวที่ได้ก็จะเป็นนักท่องเที่ยวคนอื่นแบบเรา

คุณลุงฝีพายหนึ่งในแรงกายที่เราว่าน่าชื่นชม เพราะระยะทางการล่องเรือไม่ใช่ใกล้ๆ ในพื้นที่อนุรักษ์แห่งนี้เงียบสงบสวยงามเพราะพวกเขาเป็นหนึ่งในนั้น
ถ้ำต่างๆที่รอดออกไปเจอกับเวิ้งภูเขาหินปูน ถ้ำบางแห่งลึกมาก แต่ก็มีการติดตั้งไฟที่ทำให้เกิดความสว่างแล้วยังดูสวยงาม
ภูมิทัศน์ที่งดงามของยอดเขาหินปูน หลายแห่งจมอยู่ใต้น้ำบางส่วนและล้อมรอบด้วยหน้าผาสูงชันเกือบแนวตั้ง
นอกจากทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว บริเวณนี้ยังมีร่องรอยของการอยู่อาศัยสืบย้อนไปถึง 30000 ปี
เหล่านักพายที่พักเหนื่อยท่ามกลางสายฝน ถึงแม้จะถูกสอบถามว่าอยากจะแวะลงตามจุดต่างๆทุกครั้ง บางแห่งก็ไม่ได้น่าจะลงซักเท่าไหร่ แต่เชื่อเราเถอะว่าว่าให้ลง เพื่อที่พวกเขาจะได้พักแรงแขนกันได้บ้าง
โบราณสถานต่างๆที่นี่ ถึงดูก็รู้ว่าสร้างใหม่ แต่ก็ทำได้อย่างเรียบร้อยสวยงาม
ที่นี่มีการกระจายนักท่องเที่ยวได้ดีมากจริงๆ มันทำให้ไม่ได้รู้สึกว่าหนาแน่น

เมื่อมานั่งเติมพลังงานด้วยเฝอแพะอาหารขึ้นชื่อในแถบนี้ที่ร้านอาหารตรงลานจอด ฝนพรำทำให้อากาศเย็นขึ้นน่าจะไปต่อไหว เราปักหมุดต่อไปคือ Hoa Lu Ancient Capital (ฮัวหลิว) ห่างจาก Trang An ไปอีกเกือบห้ากิโลเมตร

พอใกล้ถึงเราโดนแม่ค้าโบกให้จอดรถจนตัวโก่ง มีมอเตอร์ไซค์มาตั้งข้างทางเหมือนด่านลอยคอยดักนักท่องเที่ยวแบบดูไม่น่ารักนิดๆสำหรับเรา คำโกหกว่าถ้าจะไปเที่ยวต้องให้จอดรถตรงนี้เท่านั้นคือความหมายที่เราพอจะเดาๆเอาจากท่าทาง (ซึ่งจริงๆแล้วเราก็เห็นคนท้องถิ่นขี่รถกันเข้าไปข้างในกันได้ จริงๆเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ หรือใกล้ทางเข้าก็ยังมีลานจอดอีกมากมาย)

ที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงเก่า จริงๆแล้วร่องรอยอาจจะไม่ได้เหลืออะไรมากมาย นอกจากสุสาน และวัดที่สร้างขึ้นมาใหม่ตรงพระราชวังโบราณเดิม แต่ก็เป็นหมุดที่ปักเพื่อให้เกิดการขี่จักรยานมาถึง เราเดินเที่ยวพร้อมกับความกังวลใจเล็กน้อยถึงระยะทางขากลับที่ไกลประมาณ 16 กิโลเมตร และตอนนี้ก็เริ่มเย็นมากแล้วกับฟ้าที่มืดเพราะเมฆฝน

บรรยากาศรวมๆด้านใน Hoa Lu

ตอนขี่กลับเข้าเมือง Tam Coc ถึงแม้ขามาจะเห็นด้วยตามาหมดแล้ว แต่ด้วยฝนที่ตกมันทำให้ดูสงบสวยไปคนละแบบ เราจอดแวะข้างทางนานกว่าใช้เวลาในเมืองเก่าเสียอีก พอเริ่มเข้าใกล้เมืองฝนกลับตกหนัก แต่ทุ่งนาสองข้างทางก็ดูชุ่มช่ำน่าชื่นใจทำให้วันนี้เป็นวันดีๆอีกวันหนึ่งเลยทีเดียว

Trang An เมื่อมองจากถนน เราว่าที่นี่เด็ดสุดในย่านนี้
ถนนจาก Hoa Lu ที่ฟ้าเริ่มมืด
วิวสองข้างทางมันชวนให้เราได้จอดแวะตลอด
แพะอาหารขึ้นชื่อของท้องถิ่นนี้
เคยเข็ดจากการขี่ลอดอุโมงค์แบบนี้ที่กุ้ยหลิน รถบรรทุกมันดูดเราจนเกือบล้ม
วิวสองข้างทางขากลับส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ
เมื่อใกล้เมือง Tam Coc ก็เกือบมืดพอดี

เช้าวันต่อมาเราตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกร้าวระบม เจ็บก้นที่เกิดจากการที่ขี่จักรยานเมื่อวานมาก ในใจเริ่มงอแงอยากเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่ แต่ด้วยความรู้สึกเมื่อวานมันยอดเยี่ยมมาก เราเลยตัดสินใจที่จะขี่จักรยานมันทุกวันเมื่ออยู่ที่นี่ ลำพังวิวทิวทัศน์ที่ผ่านมาถ้าไม่ได้ออกแรงจนเอ็นโดรฟินหลั่งไหลออกมาร่วมด้วย เราอาจจะไม่ได้รู้สึกฟินขนาดนี้ก็ได้

หมุดแรกที่ปักคือวัด Bich Dong ที่ห่างออกไปแค่เกือบสามกิโลเมตร ด้านบนเขาจะมีทางทะลุถ้ำเดินไปด้านบนที่เราว่าร่มรื่นน่านั่งเล่นดี เราหาข้อมูลเพิ่มเติมว่าจะไปไหนต่อ ใน Google ก็ปรากฎชื่อ Bird valley ขึ้นมา มันจะต้องดีงามแน่ๆ เมื่อเอามาตรฐานความสุขจาก Trang An เมื่อวานมาวัด

พอขี่มาถึงชักรู้สึกแปลกๆ ตกลงที่นี่มันเอกชนหรือของรัฐบาลเราแยกไม่ออกจริงๆ แบบจะอนุรักษ์หรือจะสวนนงนุชกันแน่ เมื่อซื้อตั๋วผ่านทางเข้าแล้วเราต้องเดินเท้าเข้าไปอีก ด่านแรกจะเป็นล่องเรือชมถ้ำพระซึ่งเป็นถ้ำตันใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ หลังจากนั้นเราก็เดินต่อไปยังทางเดินธรรมชาติเพื่อดูนก ระยะทางที่ค่อนข้างไกลอยู่พอสมควร นกสักตัวก็ไม่มีให้เห็น เมื่อสุดทางจะมีเนินเขาให้เราได้พอชะเง้อมองกลุ่มนกที่เกาะบนยอดไม้อยู่กลางน้ำได้ พอเดินกลับทางเก่าจะเจอสะพานข้ามไปยังเกาะดอกไม้ เรากลั้นใจเดินข้ามไปในป่าที่เลาะไปตามริมน้ำ ที่นี่มันเปลี่ยวจนเรารู้สึกกลัว ข้ามเกาะมาจะมาโผล่ที่สวนดอกไม้ที่เราว่าก็งั้นๆ เดินมาหลายชั่วโมงไม่มีสารอะไรหลั่งให้ได้แช่มชื่นใจเลยแม้แต่น้อย

เราซื้อตั๋วลงเรือเพิ่มเพื่อที่จะได้ไปดูนกตรงเกาะกลางน้ำ ช่วงกลางวันแบบนี้ก็ยังพอมีให้เห็นอยู่ตามยอดไม้นิดหน่อย ด้วยกล้องและเลนส์ที่มีทำให้เราแทบจะไม่ได้ภาพสัตว์ปีกใดๆเลย พอเดินออกมาถึงลานจอดรถเราถึงกับงง นักเรียนหลายร้อยคนที่กรูกันเข้ามาเพื่อทัศนศึกษาที่นี่เยอะมากจนทำให้เราหารถจักรยานที่จอดไว้แทบไม่เจอ เราใช้เวลาไปกับที่นี่ไม่ต่ำกว่าสามชั่วโมง ไม่ใช่เพราะมัวแต่เพลิดเพลิน ทว่าที่นี่มันใหญ่มากจริงๆกว่าจะเดินไปพบกับความผิดหวังแต่ละจุดก็เล่นกินเวลานาน

ถ้าใครจะมา Bird Valley เราว่าที่นี่มันเฉยๆ ถ้าอยากดูนกให้มาช่วงเช้าหรือเย็นมันจะอยู่ที่รังมากกว่า
ที่มากกว่านกคือผีเสื้อและยุง

วัด Thai Vi คือจุดหมายต่อไป ในระหว่างทางเรามาแวะตรง Co Vien Lau ซึ่งดูวังเวงใช้ได้ เราเดินเข้าไปด้านในก็มีผู้หญิงท่าทางกำลังหงุดหงิดอะไรบางอย่างเข้ามาบอกเราว่าถ้าจะเข้าที่นี่ต้องเสียเงิน เราจ่ายไปตามจำนวนที่เธอว่าแล้วเข้าไปด้านใน โอ้ในใจคิดว่าวันนี้คงเป็นวันที่ต้องสำรวจกับดักนักท่องเที่ยวแห่ง นิญบิ่ญ แน่ๆ ที่นี่เป็นหมู่บ้านจำลองชาวเวียดนามแบบต่างๆตั้งแต่รวยจนถึงแบบพอเพียง ซึ่งเราก็รู้สึกว่ามันจำเป็นต้องมีสถานที่แบบนี้จริงๆเหรอ ถึงแม้จะไม่ถูกใจแต่ที่นี่ก็ถ่ายรูปขึ้นอยู่เหมือนกัน เพราะมีภูเขารวมถึงถ้ำเล็กๆ

ออกมาได้อีกไม่นานก็ถึงวัดที่เป็นจุดหมาย ด้านในกำลังมีคนทำพิธีอะไรสักอย่าง มีม้ากระดาษตัวเท่าของจริงวางเรียงอยู่ด้านหน้า มีหนึ่งแถวที่เป็นช้างตัวเท่ากับม้าวางอยู่ด้วยเช่นกัน เราพยายามไปก้มๆเงยๆดูคิดถึงวิธีการนำพวกมันมาที่นี่ ซึ่งไม่น่าจะเป็นป๊อปอัพหรือวางซ้อนเรียงกันมาได้ ที่จริงสถานที่ไปทั้งหมดในวันนี้ไม่ได้น่าดึงดูดสักเท่าไหร่ แต่ระหว่างทางรวมทั้งข้างหลังวัดที่ขี่เลยไปอีกหน่อยจะเป็นที่นั่งริมน้ำที่เราว่าเข้าท่ามากที่สุดในวันนี้

บริเวณวัดไม่ได้กว้างมาก แต่ระหว่างทางที่มากับด้านหลังวัดคือดีมาก เราเห็นคนใช้เป็นเส้นทางวิ่งในการออกกำลังกายนอกจากขี่จักรยาน
ม้าที่ขนาดเท่าของจริง ถ้าช้างกับเรือมีสเกลสมจริงด้วยก็ดี
ทุ่งนาด้านหน้าวัด
บรรยากาศระหว่างทางเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำของ Tam Coc

เช้าวันรุ่งขึ้นเรารีบออกไปที่ท่าเรือ Tam Coc พอต่อคิวกำลังจะซื้อตั๋วเรือก็มีฝรั่งเข้ามาขอแจมด้วยเพราะไม่อยากจ่ายค่าเรือคนเดียว เห็นน้องเค้าเรียบร้อยดีคงไม่นั่งหลังตรงกางร่มตลอดเวลาทั้งๆที่ฝนไม่ตกเหมือนพวกคนที่แล้วเราจึงตอบตกลง ที่นี่จะเป็นการล่องผ่านถ้ำสามแห่งแล้ววนกลับทางเดิม ขาไปเรานั่งหน้าส่วนขากลับเราจะให้เค้านั่งบ้างเพื่อผลัดกันชมวิว เมื่อผ่านหมู่บ้านก็จะเป็นวิวทุ่งข้าวที่ตอนนี้โดนน้ำเอ่อท่วม ฝนในช่วงนี้ตกเยอะมากจริงๆ ถ้ามาในเดือนหน้าทุ่งข้าวคงเหลืองสวยเหมือนภาพจากในอินเตอร์เน็ตเราได้แต่คิดพร้อมถ่ายรูปกับสิ่งตรงหน้าที่ทุกอย่างมีความเขียวขจีจนสีในกล้องเพี้ยนแถมแดดก็ไม่ออกหลบอยู่ในเมฆสีขมุกขมัว

พอผ่านถ้ำสุดท้ายก็จะมีเรือแม่ค้าที่ตื้อขายของเก่งที่สุดในโลก เราได้ทั้งน้ำชา สับปะรด กระทิงแดงและฝรั่งทั้งกินเองและแบ่งให้กับคนพายเรือ ขากลับถ้าเราบอกกับคนพายเรือว่าอยากถ่ายรูปบนภูเขา แถวนี้ก็จะมีอยู่สองจุด ซึ่งเราแวะได้แค่ที่เดียวเพราะอีกแห่งน้ำเอ่อทางขึ้นท่วมสูง น้ำที่นี่ไม่ได้ใสเหมือน Trang An แต่ก็มีความสวยงามของภูเขาหินปูนอยู่ ถ้าใครมาเที่ยวแถวนี้แล้วต้องเลือกล่องเรือเพียงที่เดียวเราแนะนำแค่ที่ Trang An ก็พอ

จุดชมวิวที่ต้องบอกคนพายเรือว่าอยากจอดแวะขึ้นไปถ่ายรูป
น้ำที่เอ่อสูงในปีนี้ท่วมทุ่งข้าวสองข้างทางจนบางส่วนเริ่มเหลืองใกล้ตายแล้ว
ปากถ้ำที่เราต้องลอดผ่านสามแห่ง
คนพายเรือคนนี้ถึงพูดอังกฤษไม่ได้แต่ก็พยายามอธิบายนู่นนี่นั่นจนเราซึ้งใจ

ตกบ่ายเราขี่จักรยานไปที่ถ้ำ Hang Mua ซึ่งจุดหมายหลักก็คือยอดเขาที่เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของ Tam Coc เราอ้อยอิ่งอยู่ในสวนบัวกับหุ่นปูนปั้นประหลาดๆเพื่อรอให้เย็นกว่านี้อีกหน่อย เผื่อโชคดีจะได้รูปที่มีแสงสาดส่องกับเขาบ้าง เพราะตั้งแต่มานี่มีแต่ภาพที่ดู้ร้อนๆแบนๆจากเมฆที่ฟุ้งกระจายหนา

เมื่อขึ้นบันไดไปเกือบห้าร้อยขั้น วิว360องศาจะเป็นของเราทั้งหมดพร้อมกับนักท่องเที่ยวอีกจำนวนมหาศาล อากาศที่ร้อนเหนียวหนึบหนับทำให้คิดว่าอีกสักครู่ฝนก็คงตก แล้วก็เป็นดั่งว่า เดินยังไม่ทันถึงยอดลมที่พัดแรงจนทำให้นักท่องเที่ยวต่างแตกฮือหาที่หลบฝนกันยกใหญ่ ไม่นานฝนก็เริ่มหยุด อากาศดูสดชื่นขึ้นแต่ภาพที่ถ่ายยังขมุกขมัวอยู่เช่นเดิม

ฝนที่ตกในเมืองกำลังไล่มาทางยอดเขา
เราหลบฝนที่พัดแรงอยู่ครู่ใหญ่
ถึงที่นี่จะชื่อในหมุดว่าเป็นถ้ำ แต่ทุกคนก็มาที่ยอดเขากันอย่างเดียวมากกว่า
ก่อนทางขึ้นจะมีสระบัวหลวงขนาดใหญ่
หุ่นที่เราว่าประหลาด กวางตัวนี้อยู่ดีดีก็มีดีเทล

ในตอนเย็นเราเดินสำรวจแค่แถวๆท่าเรือกับหมู่บ้านรอบๆเพื่อเป็นการบอกลา พรุ่งนี้เราต้องเดินทางกลับฮานอยตั้งแต่ตอนสาย พอเริ่มค่ำถนนสายหลักดูติ๊ดชึ่งมาก เสียงเพลงจากรถนำเที่ยวที่กระหึ่มเหมือนรถแห่ที่แข่งกับร้านรวงต่างๆ มันดูเกินงามกว่าคำว่าคึกคักไปหลายก้าวอยู่ แต่พอออกมาจากถนนดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นริมน้ำ หรือทุ่งข้าวทุกอย่างก็ดูแช่มชื่นเป็นที่สุด

Tam Coc มีร้านเด็ดอยากแนะนำชื่อ Ngon Vegan สำหรับคนกินมังสวิรัติหรือไม่อยากทานเนื้อสัตว์เป็นบางวันแบบเรา เหตุผลส่วนตัวเวลามาเที่ยวตามชนบทแล้วเห็นหมูหมากาไก่แล้วรู้สึกว่าน้อนน่ารัก แต่พอตกเย็นก็ลงท้องเราไปเสียแล้ว อาหารที่นี่อร่อยจนอยากให้มีแถวบ้านจะได้กินได้บ่อยๆ ขนมปังอะโวคาโดมันคือดีงาม เต้าหู้ผัดตะไคร้กระเทียมพริกก็อร่อยจนเป็นเมนูที่สั่งซ้ำอยู่ทุกวัน แกงกะทิเต้าหู้สับรสกลมกล่อมก็ทำให้อยู่ท้องได้ไปครึ่งวัน สลัดผลไม้ที่ชื่อ Buddha bowl คือนิพพานจริงๆ ตอนแรกที่เห็นเฝอผักก็เริ่มไม่แน่ใจ แต่พอซดแล้วก็อยากยกมือไหว้ขอโทษที่คิดไวไปจริงๆ

อ่านติดตามตอนอื่นๆของทริปนี้ได้ตามลิ้งค์ด้านล่างครับ

ตอนที่ 2  เที่ยวเวียดนามเหนือ หน้าฝน 16 วัน – ฮาซาง จังหวัดชายแดนที่ทำให้ใจเต้นแรง

ตอนที่ 3  เที่ยวเวียดนามเหนือ หน้าฝน 16 วัน – เดียนเบียนฟู เมืองแห่งประวัติศาสตร์ยุคใหม่ไฟสงคราม

ตอนที่ 4  เที่ยวเวียดนามเหนือ หน้าฝน 16 วัน – ไมโจว Mai Chau หมู่บ้านชาวไทขาว

Thanawat: REMINDER